อุรุกวัย นับเป็นหนึ่งในประเทศที่รัฐบาลได้มีการออกกฎหมายอนุญาตและส่งเสริมให้มีการครอบครอง
จำหน่าย และปลูกกัญชาได้อย่างเสรี ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ (Law
19172) ได้ถูกประกาศบังคับใช้ปลายปีค.ศ. 2013 ในยุคของประธานาธิบดี
José Mujica ซึ่งสรุปเนื้อหาที่สำคัญของกฎหมายฉบับนี้ได้แก่การเปิดโอกาสให้ชาวอุรุกวัยสามารถครอบครองกัญชาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ผ่าน 3 ช่องทาง คือ
1. การปลูก เกษตรกรรายย่อยสามารถปลูกกัญชาใช้เองในครัวเรือนได้โดยจะต้องลงทะเบียนกับหน่วยงานดูแลกลางของรัฐที่ชื่อว่า
Instituto de Regulacion y Control del Cannabis (IRCCA) โดยผู้ปลูกกัญชาแต่ละรายจะได้รับอนุญาตให้ปลูกกัญชาในพื้นที่บ้านของตนเองได้สูงสุดไม่เกิน
6 ต้น และผลผลิตกัญชาที่ได้ทั้งปีรวมกันต้องไม่เกิน 480
กรัม ทั้งนี้ผู้ปลูกกัญชาในครัวเรือนนี้สามารถลงทะเบียนเพื่อขออนุญาตปลูกกัญชาได้ในสถานที่แห่งเดียวเท่านั้น
2. การรวมกลุ่ม อุรุกวัยอนุญาตให้มีการจัดตั้ง Cannabis
Club (CC) ลักษณะคล้ายกลุ่มสหกรณ์เพื่อเป็นแหล่งผลิตและจัดหากัญชาให้กับสมาชิกในกลุ่มสำหรับคนที่มีพื้นที่ปลูกกัญชาและคนที่ไม่สามารถปลูกกัญชาได้เอง
โดยต้องมีการลงทะเบียนข้อมูลสมาชิกกลุ่มเป็นหลักฐาน แต่ละกลุ่มมีสมาชิกได้ระหว่าง 15 ถึง 45 คน ซึ่งสมาชิกในกลุ่มจะได้รับอนุญาตให้ปลูกกัญชารวมกันได้ไม่เกิน
99 ต้น และสามารถแบ่งปันกัญชาให้กับสมาชิกในกลุ่มตัวเองได้เท่านั้นและต้องไม่จำหน่ายกัญชาให้แก่สมาชิกคนใดคนหนึ่งเกินกว่า
480 กรัมต่อคนต่อปี
(3) ร้านขายยา
เรื่องนี้เคยเป็นประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงกันอย่างมากเมื่ออุรุกวัยประกาศอนุญาตให้มีการขายกัญชาในร้านขายยา
การขายกัญชาโดยตรงต่อผู้บริโภคที่ร้านขายยานี้ ผู้ซื้อจะต้องลงทะเบียนกับทางการก่อนและต้องไม่ซื้อกัญชาเกินกว่า
480 กรัมต่อคนต่อปี โดยร้านขายยาที่จะเปิดขายกัญชาได้นั้นต้องผ่านการลงทะเบียนกับ
IRCCA และกระทรวงสาธารณสุขของอุรุกวัย สำหรับกัญชาที่นำมาจำหน่ายในร้านขายยาต้องได้รับการปลูกจากบริษัทเอกชนที่ได้รับอนุญาตจาก
IRCCA เท่านั้น
อย่างไรก็ตามอุรุกวัยเองก็ประสบปัญหากับแรงกดดันทางการเมืองจากทั้งในประเทศและนอกประเทศด้วยนโยบายเปิดให้ครอบครอง
จำหน่าย และปลูกกัญชาอย่างเสรีนี้ เพราะข้อกฎหมายดังกล่าวขัดแย้งกับข้อตกลงระหว่างประเทศ
และในทางปฏิบัติเองก็มีปัญหาอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการควบคุมจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกกัญชารายย่อยหรือการรวมกลุ่มผู้ปลูกและผู้ใช้กัญชา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องทางการขายกัญชาที่ร้านขายยาซึ่งขัดกับหลักจริยธรรม
แม้ว่าจะมีกฎหมายส่งเสริมให้เอกชนปลูกกัญชาได้ตั้งแต่ปีค.ศ.2013
แต่ในปี ค.ศ. 2015 สองปีหลังออกกฎหมาย
บริษัทเอกชนที่ได้รับอนุญาตในการปลูกกัญชาอย่างถูกต้องตามกฏหมายก็ยังไม่เริ่มกระบวนการปลูกตามข้อตกลงกับรัฐเลย
รายงานของ Boidi
และคณะระบุว่ามีประชากรอุรุกวัยเพียงร้อยละ 34 เท่านั้นที่เห็นด้วยกับกฎหมายกัญชาเสรีนี้ ซึ่งผู้เห็นด้วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายซึ่งเป็นฐานเสียงของประธานาธิบดี
José Mujica และมีเพียงร้อยละ 31 ของผู้ที่มีประวัติเสพกัญชาที่แสดงความประสงค์ที่จะลงทะเบียนกับรัฐ
ขณะที่ผู้ที่มีประวัติเสพกัญชามากถึงร้อยละ 20 ระบุว่าจะไม่ไปลงทะเบียนอย่างแน่นอน
ทำให้การควบคุมผู้เสพกัญชาทำได้ยาก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะได้นำบทเรียนจากประเทศดังกล่าวมาทบทวน
ศึกษา และหาวิธีการปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป